ช็อกโกแลตทำขนม เลือกแบบไหนดี ความต่างแต่ละประเภท | Kanomcake Kitchen

ช็อกโกแลตในการทำขนม เลือกแบบไหนดี? ต่างกันอย่างไร

ช็อกโกแลต เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในเค้ก บราวนี่ คุกกี้ ฟิลลิ่ง รวมถึงกานาชและการเคลือบขนม แต่ช็อกโกแลตมีหลายประเภท ทั้งดาร์ก มิลค์ ไวท์ รวมถึงแบบ Couverture และ Compound ที่ให้ผลลัพธ์ต่างกัน บทความนี้จะช่วยให้มือใหม่เลือกช็อกโกแลตได้ถูกต้องตามเมนูที่ทำ

ช็อกโกแลตคืออะไร

ช็อกโกแลตทำจากเมล็ดโกโก้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:

  • Cocoa Mass – เนื้อโกโก้เข้มข้น
  • Cocoa Butter – ไขมันธรรมชาติจากโกโก้
  • น้ำตาล และบางครั้งมี นมผง (ใน milk chocolate)

สัดส่วนของ Cocoa Butter มีผลต่อการละลาย เนื้อสัมผัส และความเงาเมื่อเคลือบขนม

ช็อกโกแลตกับผงโกโก้ ต่างกันยังไง?

แม้จะทำมาจากเมล็ดโกโก้เหมือนกัน แต่ ช็อกโกแลต และ ผงโกโก้ มีองค์ประกอบและการใช้งานที่ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลกับรสชาติ ความเข้ม และเนื้อสัมผัสของขนมที่ทำ

  • ช็อกโกแลต – มีไขมันโกโก้ (cocoa butter) อยู่มาก ทำให้เนื้อเนียน ละลายดี เหมาะกับทำเค้ก บราวนี่ กานาช และงานเคลือบ
  • ผงโกโก้ – คือโกโก้ที่แยกไขมันออกเกือบหมด เหลือเป็นผงเข้มข้น ให้รสและสี แต่ไม่มีความมันจาก cocoa butter
  • ช็อกโกแลตให้ “รสเข้มลึกและมีความมัน” ส่วนผงโกโก้ให้ “สีเข้มและรสโกโก้ชัดแต่แห้งกว่า”

อีกจุดที่ทำให้ช็อกโกแลตและผงโกโก้ต่างกันคือ “ความเข้มข้นแบบที่ได้จากไขมันโกโก้ (cocoa butter)” ซึ่งทำให้ช็อกโกแลตมีความหอม นุ่ม และละลายในปากได้ดีกว่า เมื่อใช้ทำบราวนี่หรือเค้กแบบช็อกโกแลตแท้ เนื้อจะออกมาชุ่มฉ่ำกว่า ในขณะที่ผงโกโก้ให้ความเข้มแต่ไม่ได้ความมัน ทำให้เนื้อขนมออกมาแน่นกว่าเล็กน้อย

ในสูตรทำขนมหลายชนิด เช่น บราวนี่หรือช็อกโกแลตเค้ก มักใช้ทั้งผงโกโก้และช็อกโกแลตผสมกันเพื่อให้ได้ทั้ง “สีเข้มจากโกโก้” และ “ความมันชุ่มฉ่ำจากช็อกโกแลตแท้” ถ้าใช้โกโก้อย่างเดียวรสจะเข้มแต่เนื้อจะแห้งกว่า ในขณะที่ใช้ช็อกโกแลตอย่างเดียวอาจทำให้เนื้อเค้กมันเกินไปหรือหวานเกินไป

ดังนั้น หากต้องการทำขนมที่มีทั้งกลิ่นโกโก้ชัด เนื้อฉ่ำ และมีความหอมมัน ควรเลือกใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันตามสัดส่วนที่สูตรกำหนด ส่วนเมนูที่ต้องการเพียง “สีเข้ม” หรือ “รสโกโก้ขมแบบดาร์ก” เช่น คุกกี้หรือเค้กบางชนิด ก็อาจใช้ผงโกโก้อย่างเดียวได้เช่นกัน

ถ้าต้องการอ่านความแตกต่างแบบละเอียด สามารถดูได้ที่หน้า ช็อกโกแลต vs ผงโกโก้ ต่างกันยังไง

ช็อกโกแลตแต่ละประเภทต่างกันยังไง

ช็อกโกแลตแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อรสชาติ เนื้อสัมผัส และความเหมาะสมกับเมนูต่าง ๆ เช่น ดาร์กช็อกโกแลตให้รสเข้มลึกและติดขมเล็กน้อย เหมาะกับบราวนี่และเค้กที่ต้องการความเข้ม ส่วนมิลค์ช็อกโกแลตจะหวานกว่าและมีรสนม ทำให้เหมาะกับไส้ขนมหรือคุกกี้ ส่วนไวท์ช็อกโกแลตถึงแม้จะไม่มีโกโก้ แต่มีความมันเป็นพิเศษ เหมาะกับการนำไปแต่งหน้า ทำกานาชสีอ่อน หรือทำขนมรสหวานมัน

ในท้องตลาดยังมีหลายรูปแบบ เช่น แบบเม็ด (chocolate chips), แบบดิสก์ (callets), แบบแท่ง หรือแบบบล็อกใหญ่ ซึ่งมืออาชีพนิยมใช้แบบดิสก์เพราะละลายง่ายและให้ความร้อนสม่ำเสมอ ส่วนแบบเม็ดสำหรับคุกกี้มักถูกออกแบบให้ “ไม่ละลายหมด” เพื่อให้คงรูปหลังอบ หากต้องใช้ทำเค้กหรือกานาชควรเลือกช็อกโกแลตแท้แทนช็อกชิพสำหรับคุกกี้

ดังนั้นการเลือกประเภทช็อกโกแลตให้ตรงกับงานที่ทำจึงสำคัญมาก เพราะแต่ละชนิดให้ผลลัพธ์ต่างกัน ทั้งความเข้มข้น ความมัน ความหวาน และการละลาย ซึ่งล้วนมีผลกับรสชาติและเนื้อสัมผัสของขนมโดยตรง

  • Dark Chocolate – เข้ม หอมโกโก้ ใช้ทำเค้ก–บราวนี่
  • Milk Chocolate – นุ่ม หวาน หอมมันจากนม
  • White Chocolate – ทำจาก cocoa butter ไม่มีโกโก้
  • Ruby Chocolate – สีชมพูธรรมชาติ รสเปรี้ยวหวาน

Dark Chocolate จะให้รสโกโก้เข้มที่สุด เพราะมีสัดส่วนโกโก้โซลิดสูง เหมาะกับเมนูที่ต้องการความขมแบบดาร์ก เช่น บราวนี่เข้ม ๆ หรือเค้กที่ต้องการความหนักแน่นของโกโก้ ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งขมและมันน้อยลงเพราะน้ำตาลลดลง

Milk Chocolate มีการเติมนมผงและน้ำตาล ทำให้รสนุ่ม หวาน และกลิ่นโกโก้เบากว่า ใช้ทำไส้คาราเมล–ช็อกโกแลต เค้กโทนหวาน หรือขนมที่ต้องการรสนมมากกว่าความเข้มของโกโก้

White Chocolate ไม่มีโกโก้โซลิด (ไม่มีเนื้อโกโก้) แต่มีเพียง cacao butter จึงให้รสหวาน มัน ละมุน เหมาะกับทำกานาชสีอ่อน รสวานิลลา ไส้ครีม หรืองานตกแต่งที่ต้องการสีขาว–พาสเทล และเป็นฐานที่นิยมนำไปทำช็อกโกแลตสี

Ruby Chocolate มีสีชมพูจากสารแอนโธไซยานินในโกโก้สายพันธุ์พิเศษ ไม่ใช่สีผสมอาหาร รสชาติจะเปรี้ยวหวานคล้ายผลไม้เบอร์รี่ ใช้ทำของตกแต่ง เค้กเปรี้ยว–หวาน หรือขนมที่ต้องการคาแรกเตอร์เฉพาะ

ประเภทของช็อกโกแลตที่ใช้ทำขนม (แบบที่เชฟใช้จริง)

ช็อกโกแลตสำหรับทำขนมมีหลายแบบ และแต่ละชนิดถูกออกแบบมาให้เหมาะกับงานที่ต่างกัน เช่น ทำเค้ก ทำบราวนี่ เคลือบ แต่งหน้า หรือทำไส้ การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เลือกได้ถูกต้องและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

1) ช็อกโกแลตแบบแท่ง (Block / Bar Chocolate)

  • เนื้อแน่น เหมาะสำหรับหั่นเพื่อนำไปละลาย
  • ใช้ดีมากสำหรับทำเค้ก บราวนี่ กานาช
  • ละลายเนียนกว่าแบบชิพ เพราะไม่มีสารช่วยคงรูป

2) ช็อกโกแลตเม็ด (Callets / Pistoles)

  • ละลายง่ายที่สุด เพราะออกแบบมาให้ละลายสม่ำเสมอ
  • เหมาะสำหรับกานาช ซอสช็อกโกแลต งานเคลือบ
  • มักใช้ในแบรนด์ Couverture คุณภาพสูง

3) ช็อกโกแลตชิพ (Chocolate Chips)

  • มีสารช่วยให้ “ไม่ละลายหมด” ในความร้อน
  • เหมาะที่สุดสำหรับคุกกี้ และมัฟฟิน
  • ไม่เหมาะสำหรับละลายทำกานาชหรือเคลือบ เพราะละลายได้ยากกว่า

4) Baking Chocolate (ช็อกโกแลตสำหรับอบโดยเฉพาะ)

  • รสเข้ม ไม่มีส่วนผสมอื่น เช่น วานิลลาหรือสารแต่งรส
  • ให้รสโกโก้ชัดมาก ใช้ในเค้กช็อกโกแลต บราวนี่
  • ละลายง่าย และให้รสสม่ำเสมอในการอบ

5) Eating Chocolate (ช็อกโกแลตแบบกิน)

  • ใส่น้ำตาลมากกว่า เนื้อหวานกว่า
  • บางยี่ห้อมีสารแต่งรส ทำให้ละลายไม่สวย
  • ใช้ทำขนมได้ แต่รสชาติจะต่างจากช็อกโกแลตสำหรับทำขนมจริง ๆ

6) Compound Chocolate (ช็อกโกแลตผสมน้ำมันพืช)

  • ละลายง่าย ไม่ต้อง Tempering
  • เหมาะกับงานเคลือบ ดิปคุกกี้ แต่งหน้า
  • ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานทำขายจำนวนมาก

7) Couverture Chocolate (คูแวร์เจอร์)

  • มี Cocoa Butter สูงที่สุด
  • ให้รสและเนื้อสัมผัสดีที่สุด
  • เหมาะกับงานพรีเมียม เช่น กานาช ทรัฟเฟิล เคลือบแบบมืออาชีพ

การรู้ว่าช็อกโกแลตแต่ละแบบเหมาะกับงานอะไร จะช่วยลดปัญหา “ละลายไม่เนียน”, “ขึ้นฝ้า”, “เค้กไม่เข้ม” และทำให้คุณเลือกวัตถุดิบได้ตรงกับสูตรมากขึ้น

วิธีเลือกช็อกโกแลตสำหรับทำขนมให้เหมาะกับเมนู

การเลือกช็อกโกแลตให้ถูกประเภทมีผลต่อทั้งรสชาติ ความเข้ม เนื้อสัมผัส และการละลายของขนมแต่ละชนิด โดยเฉพาะเมนูที่ต้องการความเนียนและความเงา เช่น กานาช เค้ก และบราวนี่

การเลือกเปอร์เซ็นต์โกโก้ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นไม่ได้แปลว่า “ดีกว่าเสมอไป” แต่จะให้ผลลัพธ์ต่างกัน เช่น หากใช้ดาร์กช็อกโกแลต 70% ในเมนูที่สูตรตั้งใจให้ใช้ 55% อาจทำให้เนื้อขนม “แห้ง–แตกง่าย” เพราะน้ำตาลและปริมาณไขมันที่ลดลง ในขณะที่บราวนี่บางสูตรต้องการเปอร์เซ็นต์สูงเพื่อให้รสเข้มและเนื้อแน่น

ในทางกลับกัน ถ้าใช้ช็อกโกแลตเปอร์เซ็นต์ต่ำในเมนูที่ต้องการความเข้ม เช่น ดาร์กกานาชหรือเค้กช็อกโกแลตเข้ม ๆ รสชาติจะออกมาอ่อน น้ำหนักของโกโก้ไม่ถึง และเนื้ออาจนิ่มเกินไปเพราะน้ำตาลสูงกว่า

ดังนั้น การเลือกช็อกโกแลตควรดูทั้งเปอร์เซ็นต์โกโก้ ปริมาณน้ำตาล และความต้องการของเมนู ไม่ใช่เลือกจากระดับความเข้มอย่างเดียว เพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุลและเนื้อสัมผัสที่ถูกต้องตามสูตร

1) ดูเปอร์เซ็นต์โกโก้ (Cocoa Percentage)

  • 50–60% — รสไม่เข้มมาก เหมาะกับเค้กนุ่ม ๆ หรือเมนูที่ต้องการรสโกโก้อ่อน
  • 60–70% — สมดุลที่สุด ใช้ได้ทั้งเค้ก บราวนี่ และไส้ต่าง ๆ
  • 70% ขึ้นไป — เข้มข้น ลึก เหมาะกับบราวนี่แน่น ๆ หรือดาร์กกานาช

เปอร์เซ็นต์โกโก้ ไม่ได้บอกแค่ความเข้ม แต่ส่งผลต่อ “โครงสร้างขนม” ด้วย เพราะช็อกโกแลตเปอร์เซ็นต์สูงจะมีน้ำตาลน้อยลง ไขมันน้อยลง และโกโก้โซลิดมากขึ้น ทำให้เนื้อขนมออกมาคนละแบบ

ช็อกโกแลต 50–60% จะให้รสโกโก้เบา เนื้อชุ่มกว่า เพราะมีน้ำตาลและไขมันสูงกว่า เหมาะกับเมนูที่ต้องการความนุ่ม เช่น เค้กช็อกโกแลตแบบสปันจ์ หรือเค้กที่เน้นความฟูมากกว่าความเข้ม

ช็อกโกแลต 60–70% ให้รสสมดุลที่สุด ใช้งานง่าย เหมาะกับบราวนี่ทุกสูตร เค้กเข้ม ๆ และกานาช โดยไม่ทำให้ขนมแห้งเกินไป และยังให้โครงสร้างที่ดีสำหรับเมนูที่ต้องการความแน่นเล็กน้อย

ช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป มีโกโก้โซลิดสูง น้ำตาลต่ำ ทำให้รสลึกและขมมากขึ้น แต่ข้อควรระวังคือ “ทำให้ขนมแห้งเร็วและแข็งง่าย” ถ้าไม่ปรับส่วนผสมตาม เหมาะกับบราวนี่แน่น ๆ (Fudgy / Dense Brownie) หรือกานาชที่ต้องการรสเข้มจัดเป็นพิเศษ

ดังนั้น การเลือกเปอร์เซ็นต์ควรดูทั้งรสชาติที่ต้องการและโครงสร้างของเมนู ไม่ใช่คิดว่าเปอร์เซ็นต์สูงคือดีกว่าเสมอ หากใช้ผิดประเภท ขนมจะออกมาแข็ง แห้ง หรือรสไม่สมดุลได้ง่าย

2) เลือกตามปริมาณ Cocoa Butter

ยิ่งมี cocoa butter มาก ช็อกโกแลตจะละลายเนียน ฟิล์มสวย และให้เนื้อสัมผัสดีกว่า โดยเฉพาะเมนู:

  • เคลือบขนม
  • ดิปผลไม้
  • ทำกานาชให้เนียน

Cocoa Butter เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดคุณภาพช็อกโกแลต ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่รวมถึงความเงา การแข็งตัว และความเนียนของกานาชด้วย ยิ่งมี cocoa butter มาก ช็อกโกแลตจะ “ละลายดี – แข็งตัวสวย – ไม่เป็นผิวด้าน”

ปริมาณ Cocoa Butter ส่งผลอย่างไร?

  • ให้เนื้อสัมผัสเนียนขึ้น — เมื่อละลายจะไหลลื่น ไม่มีเม็ด เป็นสิ่งที่ compound ทำไม่ได้
  • ให้ผิวเคลือบเงาสวย — เมื่อผ่านการ tempering ฟิล์มจะตึง เงา ไม่เป็นลายคลื่น
  • ทำให้กานาชตั้งตัวสวย — เนื้อจะละเอียด ไม่แยกชั้น และมีกลิ่นหอมธรรมชาติกว่า
  • เพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง — เหมาะกับงานตกแต่งที่ต้องการความคมชัด เช่น ช็อกโกแลตตกแต่งเค้ก

แล้วถ้า Cocoa Butter ต่ำล่ะ?

  • ช็อกโกแลตละลาย “ข้นและเป็นก้อนง่ายกว่า”
  • ผิวเคลือบจะด้าน ไม่เงา แม้จะ tempering
  • เวลาทำกานาช เนื้อจะไม่ละเอียดเท่า และมีโอกาสแยกชั้นสูงกว่า
  • เหมาะกับงานทำปริมาณมาก เช่น ชุบคุกกี้หรือเคลือบง่าย ๆ

เลือกปริมาณ Cocoa Butter แบบไหนดี?

  • งานเคลือบ / ช็อกโกแลตตกแต่ง — ควรเลือก couverture ที่มี cocoa butter สูง
  • กานาชที่ต้องการความเนียน — เลือก couverture เช่นกัน เพราะละลายสวย
  • งานขายจำนวนมาก — ใช้ compound ได้ เพราะไม่ต้อง tempering และประหยัดกว่า
  • ทำเค้ก–บราวนี่ทั่วไป — ใช้ dark chocolate 55–70% ที่มี cocoa butter ระดับกลางก็เพียงพอ

ดังนั้นปริมาณ cocoa butter คือกุญแจสำคัญในการเลือกช็อกโกแลต ไม่ใช่แค่เปอร์เซ็นต์โกโก้หรือยี่ห้อ เพราะเป็นตัวกำหนดทั้ง “สัมผัส – ความเงา – ความเนียน” ในทุกเมนูช็อกโกแลตที่ทำ

3) เลือกตามประเภทงานที่ทำ

  • ทำเค้ก / บราวนี่ — ใช้ดาร์กช็อกโกแลต 55–70%
  • ทำกานาช — แนะนำ Couverture เพราะละลายเนียนกว่า
  • งานเคลือบ — Compound ใช้ง่าย ไม่ต้อง Tempering
  • ทำไส้ — เลือก Milk หรือ Dark ตามความเข้มที่ต้องการ

การเลือกช็อกโกแลตให้เหมาะกับงานเป็นสิ่งที่มือใหม่พลาดกันบ่อย เพราะแต่ละประเภทให้ “ความเข้ม – ความมัน – ความเงา – จุดหลอมเหลว” ไม่เหมือนกัน ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพขนม

ทำไมบราวนี่ควรใช้ 55–70%?

เพราะเปอร์เซ็นต์นี้ให้รสเข้มลึก แต่ยังมีไขมันที่เพียงพอจาก cocoa butter ทำให้เนื้อบราวนี่ชุ่ม สนิทกันดีระหว่างไขมันและแป้ง ถ้าใช้เปอร์เซ็นต์สูงเกิน 75% มักทำให้เนื้อแน่นและแห้งเร็วขึ้น

ทำไมกานาชต้องใช้ Couverture?

  • มี cocoa butter สูง → ละลายลื่นที่สุด
  • ให้เนื้อกานาชละเอียด ไม่แตกมัน
  • ตั้งตัวดีเมื่อแช่เย็น และยังคงความเนียน

การใช้ compound ทำกานาชจะได้เนื้อหยาบกว่า ละลายไม่สม่ำเสมอ และความมันจะไม่หอมเท่า couverture

ทำไมงานเคลือบส่วนใหญ่ใช้งาน Compound?

  • ไม่ต้อง tempering → ใช้ง่ายมาก
  • แข็งตัวเร็ว เหมาะกับงานผลิตจำนวนมาก
  • ราคาถูกกว่า 3–5 เท่า
  • ไม่ไวต่ออุณหภูมิเหมือน couverture

จึงเหมาะกับการเคลือบคุกกี้ บราวนี่บาร์ ชุบสตรอว์เบอร์รี่ และงานตกแต่งที่ต้องการความเร็ว

ทำไมบางงานไม่ควรใช้ White Chocolate?

  • ไม่มีโกโก้ ทำให้รสชาติหวานนำ
  • ละลายเร็วเกิน ทำให้แยกชั้นง่าย
  • ต้องใช้ครีม/นมเพิ่มเพื่อปรับสมดุล

เหมาะกับทำมูส ไส้ครีม และปรับโทนรสหวาน แต่ไม่เหมาะกับงานเคลือบหนา ๆ หากไม่ tempering อย่างถูกวิธี

ถ้าต้องเลือกแค่ 1 สูตร ทำทุกเมนูได้?

เลือก ดาร์กช็อกโกแลต 60–65% เป็นค่ากลาง ใช้ได้ทั้งเค้ก บราวนี่ ไส้ และกานาชพื้นฐาน

ดังนั้น การเลือกช็อกโกแลตไม่ใช่แค่เลือกเปอร์เซ็นต์หรือยี่ห้อ แต่ต้องเลือกให้เข้ากับ “ประเภทงาน” เพื่อให้ได้รสชาติ เนื้อสัมผัส และความสวยงามที่ดีที่สุดในงานเบเกอรี่แต่ละแบบ

4) เลือกรสชาติและความเข้มที่ต้องการ

  • อยากได้รสเข้มลึก → เลือก 65–75%
  • อยากได้โทนหวานนุ่ม → เลือก Milk Chocolate
  • ต้องการความมันละมุน → เลือกที่มี cocoa butter สูง

ความเข้ม (Percentage) ไม่เท่ากับ “ความขม”

หลายคนเข้าใจผิดว่าช็อกโกแลตเปอร์เซ็นต์สูงจะต้อง “ขมกว่า” เสมอ แต่จริง ๆ แล้วความขมขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น พันธุ์โกโก้ วิธีหมัก และปริมาณน้ำตาลที่เติม ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์เพียงอย่างเดียว

  • 55–60% — รสช็อกโกแลตชัด แต่ยังหวานนิด ๆ กินง่ายที่สุด
  • 60–70% — จุดสมดุลระหว่างเข้มและหวาน ใช้กับเค้กและบราวนี่ได้ดีมาก
  • 70–75% — เข้มลึก เหมาะกับสายดาร์กหรือบราวนี่เน้นโกโก้
  • 75% ขึ้นไป — รสเข้มมาก เหมาะกับสายดาร์กจัด หรือนำไปตัดรสกับส่วนประกอบหวาน

เคล็ดลับเลือกช็อกโกแลตให้เหมาะกับเมนู

  • เค้กช็อกโกแลต — ใช้ 55–65% จะละลายดีและรสบาลานซ์
  • บราวนี่ — ใช้ 60–70% เพื่อรสเข้มชัดและเนื้อชุ่ม
  • มูส / ครีม — ใช้ 50–60% เพื่อไม่ให้ขมกลบเนื้อครีม
  • ไส้ช็อกโกแลต — เลือกตามรสที่ต้องการ เช่น 55% (หวานนุ่ม) หรือ 65% (เข้มลึก)

เคล็ดลับเลือกช็อกโกแลตสำหรับมือใหม่

  • เลือก 60–65% เป็นค่าอเนกประสงค์ ทำได้เกือบทุกเมนู
  • ไม่ต้องเลือกเปอร์เซ็นต์สูงเกินไป หากยังไม่ชำนาญ เพราะอาจทำให้เนื้อขนมแห้งหรือแข็ง
  • ดู “รสชาติจริง” ของยี่ห้อ เพราะเปอร์เซ็นต์เดียวกันแต่รสต่างกันได้

ทำไมช็อกโกแลตบางยี่ห้อ 70% ถึงไม่ขม?

เหตุผลคือสัดส่วนของ cocoa solids, วิธีคั่วเมล็ด และชนิดโกโก้ เช่น Criollo จะให้รสละมุนกว่า Forastero แม้เปอร์เซ็นต์เท่ากัน

ดังนั้นการเลือกความเข้มไม่ใช่แค่ดูตัวเลข แต่ต้องดูว่า “เหมาะกับเมนูที่ทำ” และ “รสที่ต้องการ” เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เมื่อเลือกช็อกโกแลตได้เหมาะกับเมนู รสชาติและเนื้อสัมผัสของขนมจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมนูช็อกโกแลตที่ต้องการความเข้มข้น เช่น บราวนี่และเค้กช็อกโกแลต

ช็อกโกแลตยี่ห้อไหนดี? (วิธีเลือกแบบไม่ต้องดูยี่ห้อ)

หลายคนมักถามว่า ช็อกโกแลตยี่ห้อไหนดี สำหรับทำเค้ก บราวนี่ หรือกานาช แต่จริง ๆ แล้วการเลือกช็อกโกแลตไม่จำเป็นต้องดูยี่ห้อเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “สเปกของช็อกโกแลต” ที่เหมาะกับงานที่ทำมากกว่า

1) ดูเปอร์เซ็นต์โกโก้ (Cocoa Mass / Cocoa Solids)

เปอร์เซ็นต์โกโก้บอกความเข้มของช็อกโกแลต:

  • 50–60% — รสอ่อน เหมาะกับเค้กนุ่ม ๆ หรือทานง่าย
  • 60–70% — เหมาะกับงานเบเกอรี่เกือบทุกประเภท
  • 70% ขึ้นไป — เข้มลึกที่สุด เหมาะกับบราวนี่เข้ม ๆ

2) เลือกตามปริมาณ Cocoa Butter

ถ้าต้องการความเนียน ละลายดี เงาสวย เช่นใช้ทำกานาช ดิปเคลือบ หรือไส้ช็อกโกแลต ควรเลือกที่มี cocoa butter สูงกว่า เพราะให้เนื้อสัมผัสดีกว่าแบบที่ใช้น้ำมันพืชทดแทน

3) เลือกตามประเภทของงาน

  • ทำเค้ก / บราวนี่ → เลือกดาร์กช็อกโกแลต 55–70%
  • งานเคลือบหรือดิป → Compound ใช้ง่ายกว่าและไม่ต้อง Tempering
  • ทำกานาชเนียน ๆ → ใช้ Couverture จะให้เนื้อดีที่สุด
  • ทำไส้คาราเมล–ช็อกโกแลต → Milk Chocolate ให้รสหวานมัน

4) เลือกราคาที่เหมาะสมกับงาน

  • งานขายจำนวนมาก — Compound คุ้มกว่า ใช้ง่ายกว่า
  • งานพรีเมียม — Couverture ให้รสชาติและเนื้อดีกว่า

ดังนั้นคำถามว่า “ช็อกโกแลตยี่ห้อไหนดี?” คำตอบที่ถูกต้องคือ ให้ดู “สเปกของช็อกโกแลต” ว่าเหมาะกับเมนูและลักษณะงานของเรามากกว่า ไม่จำเป็นต้องยึดติดยี่ห้อใดเป็นพิเศษ

วิธีดู “ช็อกโกแลตคุณภาพดี” แบบไม่ต้องพึ่งรีวิว

การเลือกช็อกโกแลตสำหรับทำขนมแบบมืออาชีพ ไม่จำเป็นต้องรู้จักแบรนด์มาก่อน แต่สามารถดูจาก “ฉลากส่วนผสม” ได้เลย เพราะส่วนประกอบจะบอกคุณภาพชัดที่สุด

  • ส่วนผสมแรกควรเป็น Cocoa Mass หรือ Cocoa Liquor แปลว่าใช้โกโก้จริง ไม่ใช่ผงแทน
  • มี Cocoa Butter อยู่ในลำดับบน บ่งบอกว่าช็อกโกแลตละลายดีและให้สัมผัสพรีเมียม
  • น้ำตาลไม่ควรอยู่ลำดับแรก ถ้าน้ำตาลนำหน้า รสช็อกโกแลตจะอ่อน ไม่เข้ม
  • หลีกเลี่ยงช็อกโกแลตที่มี “Hydrogenated Oil” ถ้าเป็นงานพรีเมียม
  • ช็อกโกแลตมีส่วนผสมสั้น ๆ = ดี ยิ่งมีรายการเยอะ มักจะปรุงแต่งมาก

เลือกช็อกโกแลตให้เหมาะกับประเภทการใช้งาน

  • ทำเค้ก / บราวนี่ — ดาร์ก 55–70%, ละลายเร็ว รสเข้ม
  • คุกกี้ช็อกชิพ — ใช้ chocolate chips (ทนอุณหภูมิ ไม่ละลายเป็นน้ำ)
  • กานาช — ใช้ couverture เพื่อความเนียนเป็นพิเศษ
  • งานเคลือบ / ดิปผลไม้ — ใช้ compound ง่ายกว่า ไม่ต้อง tempering
  • มูสช็อกโกแลต — ใช้ 50–60% เพื่อบาลานซ์ความขม
  • ไส้ช็อกโกแลตนุ่ม ๆ — เลือก milk chocolate หรือ dark 55%

ความแตกต่างระหว่าง “Chocolate Bar” vs “Chocolate Chips” vs “Baking Chocolate”

  • Chocolate Bar (แท่งกินเล่น) — มีส่วนผสมนม / น้ำตาลสูง ทำเค้กได้แต่จะหวานโดด
  • Baking Chocolate — ทำมาเพื่อใช้ละลาย, รสบาลานซ์, ไม่หวานเกิน
  • Chocolate Chips — ถูกออกแบบให้คงรูปตอนอบ จึงไม่ละลายเนียน หากเอาไปทำบราวนี่จะเป็นเม็ด ๆ

ดังนั้น หากต้องละลาย ควรใช้ baking chocolate หรือ couverture ไม่ใช่ chocolate chips

วิธีทดสอบคุณภาพช็อกโกแลตแบบง่าย ๆ

  • แตกแล้วเสียง "ป๊อก" — มักเป็นช็อกโกแลตที่มี cocoa butter สูง คุณภาพดี
  • ละลายในปากเร็ว — แสดงว่าใช้ cocoa butter ไม่ใช่น้ำมันพืช
  • ผิวเรียบ เงา — กระบวนการผลิตดี และอาจทำ temper มาแล้ว
  • ละลายนาน / เหนียวเป็นก้อน — มักเป็น compound หรือคุณภาพต่ำ

เลือกช็อกโกแลตแบบไหนดีสำหรับ “มือใหม่”?

  • เริ่มต้นที่ 60–65% — รสชาติบาลานซ์ ทำได้ทุกเมนู
  • ถ้าทำเคลือบ — ใช้ compound จะง่ายที่สุด ไม่ต้องกลัวเสีย
  • ถ้าทำบราวนี่เข้ม ๆ — ใช้ 65–70%
  • ถ้าทำมูสที่ต้องการรสนุ่ม — ใช้ 50–55%

สรุปคือ ช็อกโกแลตที่ดีที่สุดไม่ใช่ยี่ห้อไหน แต่เป็น “แบบที่ตรงกับงานของคุณ” ต่างหาก

Couverture vs Compound

1) Couverture Chocolate

  • ทำจาก Cocoa Butter 100%
  • ละลายเนียน หอมธรรมชาติ
  • ต้อง Tempering
  • ราคาแพงกว่า

2) Compound Chocolate

  • ใช้ น้ำมันพืช แทน cocoa butter
  • ไม่ต้อง Tempering
  • ละลายง่าย เหมาะกับมือใหม่
  • ใช้ทำเคลือบ คุกกี้ ดิปขนม

สรุปความแตกต่างแบบเข้าใจง่ายที่สุด

Couverture ใช้ cocoa butter 100% ทำให้ละลายดี รสธรรมชาติ เนียน เงาสวย
Compound ใช้ น้ำมันพืช แทน cocoa butter ทำให้แข็งตัวง่าย ไม่ต้อง temper

ทำไม Couverture ต้อง Tempering?

เพราะภายใน cocoa butter มี “ผลึกไขมัน” หลายรูปแบบ ถ้าไม่จัดเรียงผลึกใหม่ด้วยการ tempering จะเกิดปัญหา:

  • ผิวด้าน ไม่เงา
  • เนื้อไม่กรอบ แตกไม่คม
  • ละลายในมือเร็ว
  • เกิดฝ้า (Bloom) ง่ายขึ้น

การ Tempering จึงจำเป็นสำหรับงานที่ต้องการผลลัพธ์พรีเมียม เช่น เคลือบช็อกโกแลต ไวท์ช็อกโกแลตงานแต่งหน้า และงานคาเฟ่ระดับโปร

กรณีที่ควรใช้ Couverture

  • ทำกานาชต้องการเนื้อเนียนละเอียด
  • เคลือบขนม (Chocolate Coating) ที่ต้องการความเงา
  • ทำช็อกโกแลตบาร์ / ชิ้นงานตกแต่ง
  • ต้องการรสชาติช็อกโกแลตที่ลึกและเป็นธรรมชาติ

ข้อดีของ couverture คือ “ละลายด้วยความร้อนจากร่างกาย” ได้ดี ทำให้รู้สึกพรีเมียมมากกว่าทุกประเภท

กรณีที่ควรใช้ Compound

  • งานขายจำนวนมาก เพราะไม่ต้อง tempering ประหยัดเวลามาก
  • งานเคลือบคุกกี้–เค้กป๊อป ที่ต้องการให้แข็งตัวเร็ว
  • ตกแต่งงานเด็ก เพราะราคาประหยัดและใช้สีได้หลากหลาย
  • มือใหม่ ที่ยังไม่อยากเรียน tempering

Compound แข็งตัวง่ายแม้อากาศร้อน ทำให้ทำงานง่ายกว่า couverture มาก

รสชาติ: Couverture vs Compound

  • Couverture — กลิ่นหอมลึก ละลายเร็ว รสชาติซับซ้อนกว่า เหมือนกินช็อกโกแลตแท้
  • Compound — รสหวานกว่า กลิ่นช็อกโกแลตอ่อนกว่า เนื้อออกแห้งกว่านิดหน่อย

ถ้าต้องการรสช็อกโกแลตที่ “ละลายในปากก่อนเคี้ยว” ต้องใช้ couverture เท่านั้น

ราคาแตกต่างกันเท่าไหร่?

  • Couverture — ประมาณ 600–1,000 บาท/กก. (บางรุ่นสูงกว่านี้)
  • Compound — ประมาณ 120–300 บาท/กก.

ข้อสรุปง่าย ๆ: ถ้าทำงานขายเยอะ เลือก compound ก่อน ถ้าทำงานพรีเมียมหรือเน้นรสชาติ ใช้ couverture

ถ้าต้องเลือกแค่แบบเดียว ควรเริ่มจากอะไร?

สำหรับมือใหม่ แนะนำเริ่มจาก ดาร์ก compound 55–60% เพราะใช้ง่าย ราคาดี และทำเมนูได้หลากหลาย

เมื่อเริ่มชำนาญแล้วค่อยอัปเกรดเป็น couverture เพื่อให้กานาชและการเคลือบดูมืออาชีพลขึ้น

ควรใช้ช็อกโกแลตแบบไหนกับเมนูอะไร?

  • เค้กช็อกโกแลต / บราวนี่ → ใช้ dark chocolate
  • กานาช → ใช้ couverture จะเนียนกว่า
  • เคลือบคุกกี้ / แต่งหน้า → compound เหมาะกว่า
  • ไส้ช็อกโกแลต → milk หรือ dark แล้วแต่ความเข้ม

แนะนำช็อกโกแลตให้เหมาะกับเมนูยอดนิยม

1) บราวนี่ (Brownie)

  • แนะนำ: ดาร์ก 55–70%
  • เพราะว่า: ให้รสเข้มลึก เนื้อหนึบ ชุ่มฉ่ำ
  • เคล็ดลับ: ถ้าอยากได้ fudgy ใช้เปอร์เซ็นต์สูงขึ้น 65–70%

2) เค้กช็อกโกแลต (Chocolate Cake)

  • แนะนำ: ดาร์ก 50–60%
  • เพราะว่า: ให้รสกำลังดี ไม่ขมเกินจนกลบเนื้อเค้ก
  • กรณีเค้กเข้มแบบพรีเมียม: ใช้ 65–70% เพิ่มความดาร์ก

3) กานาช (Ganache)

  • แนะนำ: Couverture (ดาร์กหรือมิลค์)
  • เพราะว่า: cocoa butter สูง ทำให้กานาชเนียน ละลายสวย ไม่เป็นลิ่ม
  • ไม่แนะนำ compound: เพราะเนื้อจะไม่เนียนเท่า

4) งานเคลือบคุกกี้ / เคลือบเค้กป๊อป

  • แนะนำ: Compound chocolate
  • เพราะว่า: แข็งตัวง่าย ไม่ต้อง temper เหมาะกับงานจำนวนเยอะ
  • ทริก: เติมน้ำมันพืช 1–2% ทำให้ไหลลื่นขึ้น

5) ไส้ช็อกโกแลต (Chocolate Filling)

  • แนะนำ: Milk chocolate หรือดาร์ก 50–60%
  • เพราะว่า: ได้ความนุ่ม หอม มัน ไม่เข้มจนเกินไป

6) ดิปผลไม้ / ฟองดูว์ (Chocolate Dip)

  • แนะนำ: Couverture 55–65%
  • เหตุผล: ละลายเนียน เคลือบผลไม้ได้ฟิล์มบางสวย
  • กรณีกลัวงานละลายในอุณหภูมิห้อง: ใช้ compound แทน

7) คุกกี้ช็อกชิพ (Chocolate Chip Cookies)

  • แนะนำ: ดาร์ก 50–60% หรือมิลค์
  • ทริก: ใช้ chocolate chunks จะละลายเป็นแอ่งสวยกว่าเม็ดช็อกชิพทั่วไป

8) ไอศกรีมช็อกโกแลต

  • แนะนำ: ดาร์ก 70%
  • เหตุผล: เมื่อตีรวมกับครีมจะเจือจางลง → รสสุดท้ายจะเข้มกำลังพอดี

9) เครื่องดื่มช็อกโกแลต

  • แนะนำ: ดาร์ก 40–55%
  • เพราะว่า: ละลายง่าย ไม่ขมเกินไป

10) งานตกแต่งเค้ก / ปั้นช็อกโกแลต

  • แนะนำ: Couverture
  • เพราะว่า: ได้ผิวเงา คงรูปดี เมื่อ tempering ถูกต้อง

สรุปเลือกแบบเร็ว

งานพรีเมียม ใช้ Couverture
งานขายจำนวนมาก ใช้ Compound
เมนูอบ (เค้ก/บราวนี่) ดาร์ก 55–70%

หากไม่แน่ใจว่าเมนูของตัวเองควรใช้แบบไหนดี สามารถเริ่มจากดาร์ก 55–60% ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่คุ้มค่า ใช้งานง่าย และให้รสช็อกโกแลตชัดเจนที่สุด

ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อใช้ช็อกโกแลต

  • จับตัวเป็นก้อน – อุณหภูมิสูงไป
  • ไขมันแยกชั้น – คนหรือให้ความร้อนเร็วเกิน
  • เกิด Chocolate Bloom (ขึ้นฝ้า)
  • กลิ่นเหม็นหืน – เก็บผิดวิธี
อ่านเพิ่มเกี่ยวกับการเลือกผงโกโก้สำหรับทำขนมได้ที่ ผงโกโก้ทำขนม เลือกแบบไหนดี

วิธีเก็บช็อกโกแลตให้ไม่เสีย

  • อุณหภูมิ 18–22°C
  • หลีกเลี่ยงความชื้น
  • ไม่แช่ตู้เย็น
  • เก็บในถุง/กล่องทึบแสงปิดสนิท

ราคาช็อกโกแลตปี 2026 (ภาพรวมตลาดและแนวโน้ม)

ในปี 2026 ราคาช็อกโกแลตมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะ cocoa butter และผลผลิตโกโก้ที่ลดลงในหลายประเทศผู้ผลิตหลัก ส่งผลให้ช็อกโกแลตหลายประเภทมีการปรับราคาอย่างเห็นได้ชัด

ราคาโดยประมาณของช็อกโกแลตที่ใช้ทำขนม

  • Couverture Chocolate (ดาร์ก / มิลค์ / ไวท์)
    ราคาประมาณ: 600 – 1,000 บาทต่อกิโลกรัม
    ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์โกโก้และปริมาณ cocoa butter ที่สูงกว่าแบบอื่น
  • Compound Chocolate
    ราคาประมาณ: 120 – 300 บาทต่อกิโลกรัม
    เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและใช้สะดวก ไม่ต้อง Tempering
  • ดาร์กช็อกโกแลต 55–70%
    ราคาประมาณ: 300 – 600 บาทต่อกิโลกรัม
    เหมาะกับเค้กและบราวนี่ที่ต้องการรสเข้มแต่ไม่ต้องการความเงาแบบงานเคลือบ

ทำไมราคาช็อกโกแลตถึงขึ้นในช่วงปี 2025–2026?

  • ความผันผวนของผลผลิตโกโก้ – หลายพื้นที่ประสบปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง
  • ต้นทุน cocoa butter สูงขึ้น – ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของช็อกโกแลตชนิดพรีเมียม
  • ความต้องการตลาดเพิ่มขึ้น – ทั้งในงานเบเกอรี่และอุตสาหกรรมขนมหวาน

ดังนั้นราคาอาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ คุณสมบัติของช็อกโกแลต และเปอร์เซ็นต์โกโก้ หากต้องการทำเมนูพรีเมียมหรือเน้นความละลายเนียน ควรเลือกช็อกโกแลตที่มีปริมาณ cocoa butter สูง แม้ราคาจะสูงกว่าแต่ผลลัพธ์จะดีกว่ามาก

อยากเข้าใจวัตถุดิบเบเกอรี่แบบลงมือทำจริง?

ในคลาสของ Kanomcake Kitchen ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีใช้ช็อกโกแลต น้ำตาล เนย วิปปิ้งครีม และวัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ พร้อมฝึกทำเมนูจริงทุกขั้นตอน และสามารถปรึกษาเชฟได้โดยตรงทั้งในคลาส และหลังจบคลาสเมื่อกลับไปทำที่บ้าน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับช็อกโกแลต

ได้ แต่เนื้อและรสชาติจะไม่เข้มเท่า couverture

ได้ แต่รสจะไม่เข้มลึกเท่า dark chocolate

เกิดจาก Fat Bloom หรือ Sugar Bloom เนื่องจากอุณหภูมิไม่คงที่หรือความชื้นสูง

เฉพาะ couverture ที่ใช้เคลือบหรือทำงานตกแต่ง หากทำเค้กหรือบราวนี่ไม่จำเป็น